ณ ที่เราพบกัน - ณ ที่เราพบกัน นิยาย ณ ที่เราพบกัน : Dek-D.com - Writer

    ณ ที่เราพบกัน

    ณ ที่แห่งนี้ ที่เราสัญญา...ว่าเราจะพบกันอีกครั้ง...

    ผู้เข้าชมรวม

    739

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    739

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ก.ค. 49 / 19:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      หนึ่งใน เรื่องสั้นชุด Trip & Love ตามรอยแห่งรัก ค่ะ


      ........................................................................................


      วันวาน...ผ่านผัน
      ณ ที่นี้...คงมั่น
      ผูกพันรัก...ชั่วกาลนิรันดร์
      บทแรก


      “นี่แก... ฉันมาถึงแล้วนะ แกอยู่ไหน...”

      ปัทม์กรอกเสียงลงในโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวเล็กน้อย เพราะแสงแดดยามเที่ยงช่างร้อนแสนร้อน บวกกับกลิ่นควันจากรถที่ติดกันเป็นแพยาวยิ่งน่าหงุดหงิดเข้าไปใหญ่

      ปัทม์บอกตัวเองว่าไม่ชอบเลยกับเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวาย แต่หล่อนก็อยู่เมืองนี้จะเข้าปีที่เจ็ดอยู่รอมร่อ เรียกว่าที่นี่แทบจะเป็นบ้านของหล่อนไปแล้ว

      ก็เหมือนกับเด็กต่างจังหวัดทั่วไปที่สอบเอนทรานช์เข้ามาในมหาวิทยาลัย และหล่อนก็เรียนเพลินจนกำลังจะได้ปริญญาใบที่สองอยู่แล้ว ดีแต่ว่าทางบ้านของหล่อนไม่เดือดร้อนกับการที่หล่อนยังขอความช่วยเหลือด้านการเงิน

      ครอบครัวของหล่อนไม่ใช่คนร่ำรวย บิดามารดาเป็นข้าราชการที่ทำงานมาร่วมยี่สิบปีจึงพอมีเงินเดือนให้ใช้จ่ายโดยไม่ลำบาก พี่ชายคนโตของหล่อนก็ทำงานแล้วทำให้แบ่งเบาภาระของครอบครัวไปเยอะ

      ตอนแรกหล่อนก็คิดว่าเรียนจบแล้วจะกลับไปหางานทำที่บ้านเกิด ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งเปิดรีสอร์ตที่ริมแม่น้ำชีก็ชวนอยู่บ่อยๆ ให้หล่อนไปช่วยงานเขา เพราะกิจการที่ทำท่าว่าจะดีวันดีคืน ผู้คนชอบที่จะไปพักผ่อนด้วยการแสวงหาธรรมชาติบริสุทธิ์ รีสอร์ตของพันทิศจึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ทว่าปริญญาอีกใบก็ยั่วใจเหมือนกัน หล่อนคิดว่าถ้าตัวเองก้าวสู่โลกการทำงานเมื่อไรก็คงจะขี้เกียจหวนกลับมาเรียนอีกแน่ ก็เลยผลัดพันทิศเอาไว้ก่อน

      “เออ... แล้วตึกที่แกว่าอยู่ตรงไหนล่ะ”

      ปัทม์กวาดสายตาไปรอบตัว เบื้องหน้าเป็นตึกสูงซ้อนๆ กันอยู่ มันทำให้หล่อนอึดอัดทุกครั้งราวกับจะหายใจไม่ออก หล่อนเกลียดตึกแบบกล่องๆ อย่างนี้มาก แต่ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ไม่ว่าจะไปทางไหนก็จะมีกล่องสี่เหลี่ยมแบบนี้อยู่ทั่วไป

      หล่อนมองหาตึกที่เพื่อนสนิทซึ่งคบกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมที่จังหวัดเดียวกัน แต่พอเรียนมหาวิทยาลัยก็แยกกันเรียนคนละแห่ง จนกระทั่งปริญญาโทก็ยังอยู่กันคนละมหาวิทยาลัย แต่ยังติดต่อกันอยู่เสมอ เรียกว่าหล่อนคบกับเพื่อนคนนี้มากกว่าเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันเสียอีก

      วันนี้เจ้าเพื่อนสนิทก็นัดหล่อนมาหาเพื่อนที่จะไปดูหนังกัน แล้วเพื่อนของหล่อนก็ดีเหลือเกิน นี่หล่อนอุตส่าห์มาหาถึงที่แต่แทนที่จะมาหากลับให้หล่อนเดินหาตึกที่ตัวเองมาทำวิจัยอยู่เอง แล้วขอโทษเถอะ หล่อนเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก

      โรงพยาบาลพระมงกุฎก็ใหญ่ซะขนาดนี้...แล้วจะหาเจอไหมนี่

      “แกเดินผ่านตึกโรงพยาบาลมาเรื่อยๆ นะ เลียบถนนมา แล้วแกจะผ่านตึกเก่าๆ สวยๆ แล้วก็จะเจอแถบอาคารเรียน...เออ เดี๋ยวนะ ฉันต้องวัด EKG น้องหนูก่อน แค่นี้ก่อนนะ”

      ให้ตายเถอะ... ปัทม์มองโทรศัพท์อย่างแค้นใจ

      ดูกับมันสิ...วางไปแล้ว หล่อนต้องคลำทางเอาเอง

      วัตราเพื่อนของหล่อนกำลังเรียนปริญญาโทอยู่เช่นกัน หล่อนเป็นนักศึกษาในสาขาวิชาสรีรวิทยา ตอนนี้มาทำวิจัยอยู่ที่นี่ เห็นว่าเกี่ยวกับคลื่นไฟฟ้าหัวใจอะไรสักอย่างที่ต้องใช้ ‘น้องหนู’ ที่วัตราเรียกเสียน่ารัก แต่ความจริงก็คือหนูทดลองนั่นแหละ

      เพื่อนของหล่อนน่ะ สุดซาดิสม์เลยล่ะ

      ปัทม์พยายามคลำหาเส้นทางตามที่วัตราบอกไว้ โดยพยายามเดินอยู่ในเขตโรงพยาบาลแต่ให้มองเห็นถนนที่คู่ขนานกับรั้วโรงพยาบาลเพื่อที่จะได้ไม่หลงทาง ซึ่งถ้าได้หลงแล้วหล่อนไม่แน่ใจว่าจะหาทางออกได้หรือเปล่า

      หล่อนรู้แค่คร่าวๆ ก็รู้จากวัตรานั่นแหละว่าโรงพยาบาลพระมงกุฎเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สังกัดกับกองทัพบก เรียกง่ายๆ ว่าเป็นโรงพยาบาลทหาร แต่ว่าบุคคลทั่วไปก็สามารถมาใช้บริการได้ ที่นี่อยู่เกือบใจกลางกรุงเทพมหานคร ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งแทบจะเรียกว่าเป็นศูนย์กลางของการขนส่งมวลชนในกรุงเทพ

      นอกจากตัวโรงพยาบาลแล้ว ยังมีส่วนของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าซึ่งเป็นโรงเรียนผลิตแพทย์ให้กับโรงพยาบาลในกองทัพบกซึ่งในส่วนนี้แหละที่วัตราเข้ามาทำวิจัย และยังมีวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบกด้วย

      “เอ๊ะ...” ปัทม์อุทานอย่างตกใจกับรถคันใหญ่ที่แล่นสวนมาอย่างรวดเร็ว จนหล่อนกระโดดหลบแทบไม่ทัน

      เมื่อกี้หล่อนมัวแต่มองตึกรอบๆ เลยลืมตัวไปว่าเดินอยู่บนถนนเล็กๆ ภายในโรงพยาบาลซึ่งความจริงก็ดูโล่งๆ เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ แต่ก็ยังพอมีผู้คนและรถสัญจรไปมาบ้าง ไม่ได้ร้างเป็นป่าช้าเหมือนโรงพยาบาลที่บ้านของหล่อน

      “เฮอะ... ไม่รู้จักระวังผู้หญิงตัวเล็กบอบบางอย่างเราบ้างเลย” ปัทม์แยกเขี้ยวใส่ท้ายรถ

      ผู้หญิงตัวเล็กที่สูง ๑๖๗ เซนติเมตร และบอบบางด้วยน้ำหนัก ๕๙ กิโลกรัม เดินอย่างมาดมั่นไปตามทางแล้วพลันชะงักกับภาพเบื้องหน้า

      สิ่งก่อสร้างที่หล่อนไม่คิดจะเจอ...

      ‘แล้วแกจะผ่านตึกเก่าๆ สวยๆ’ เสียงของวัตราดังผ่านหูไปเหมือนเสียงกระซิบ หล่อนเจอแล้วตึกแบบยุโรปเก่าเรียงกันยาวเหยียด ตัวตึกสีไข่เหลืองนวลตัดกับหลังคากระเบื้องสีแดงเข้มด้วยสถาปัตยกรรมงดงามทำให้ต้องอึ้งไปหลายอึดใจ

      ปัทม์ค่อยๆ ระบายลมหายใจช้า ซึมซับกับความงามเบื้องหน้า

      ถ้าไม่มีรถที่แล่นสวนมา หล่อนคงคิดว่าหลุดเข้าไปในฉากละครย้อนยุคสักเรื่อง

      สนามหญ้าเขียวขจีกับตึกโบราณที่หาได้ยากในปัจจุบัน ราวกับอยู่อีกคนละโลก...

      หญิงสาวเดินราวละเมอไปตามสายตาที่จับอยู่กับภาพเบื้องหน้าโดยไม่ละสายตาไปมองสภาพแวดล้อมรอบกาย

      “โอ๊ย...” ปัทม์อุทานเมื่อรู้สึกว่าตัวเองชนกับอะไรสักอย่าง ร่างสูงออกท้วมเล็กน้อยไม่เพรียวบางเข้าสมัยเซไปแต่ก็ยังทรงตัวได้

      หล่อนหันไปมองสิ่งที่คิดว่าเป็นกำแพง

      กำแพงของหล่อนสูงแทบค้ำศีรษะ ทอดตามองหล่อนด้วยแววพิศวง... นัยน์ตาสีเข้มเกือบดำราวนิลเจียระไนเปล่งประกายระยับข่มแสงแดดจ้าให้อาย

      ปัทม์รู้สึกราวกับถูกดึงลงไปในบ่อน้ำลึก...แทบจมหาย

      อากาศที่หายใจเบาบางลงไปทันใด จนหล่อนต้องพยายามหายใจให้มากขึ้น...แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้

      ริมฝีปากหนาทว่าหยักได้รูปสวยขยับนิดๆ แต่ปัทม์กลับรู้สึกว่าเป็นรอยยิ้มที่งดงามที่สุดในโลก... โดยเฉพาะรอยยิ้มในดวงตาที่หล่อนคิดว่าตัวเองมองไม่ผิด

      “ขอโทษครับ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณ...”

      “ไม่เป็นไรค่ะ...ปัทม์เหม่อเอง” เสียงทุ้มนุ่มที่ออกมาจากริมฝีปากคู่สวยทำให้หล่อนตอบโดยอัตโนมัติ

      กำแพงที่บัดนี้กลายมาเป็นรูปหล่อโลหะที่งดงามด้วยความสมบูรณ์ของสรีระแห่งเพศชายที่ควรจะพึงมีทำให้ปัทม์ถอนสายตาออกไม่ได้

      “ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอตัวก่อนนะครับ...อ้อ เดินระวังรถด้วยนะครับ”

      ปัทม์มองตามร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเดินช้าๆ ไปตามทางที่หล่อนผ่านมาเมื่อครู่ ชายเสื้อกราวน์ยาวสีขาวสะบัดตามแรงลมให้เห็นสีเขียวเข้มแบบทหารของชุดข้างใน แล้วต้องถอนใจแต่แทนที่จะโล่งใจกลับมีอะไรบางอย่างค้างคาอยู่ในใจกับรอยยิ้มในนัยน์ตาสีนิลคู่นั้น

      หล่อนสลัดศีรษะ...

      ‘ท่าจะแย่แล้วเรา...ทำอย่างกับไม่เคยเจอคนหล่อ’

      ‘แต่หล่อแบบนี้หล่อนก็ไม่เคยเจอจริงๆ นั่นแหละ ไม่ใช่แค่คำว่าหล่อ แต่ยังรวมถึงสง่า เปี่ยมไปด้วยพลังและอำนาจบางอย่างในตัว’ อีกเสียงหนึ่งในตัวบอกหล่อน

      โดยเฉพาะ ‘อะไรบางอย่าง’ ที่หล่อนรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

      ปัทม์พยายามสลัดความรู้สึกแปลกๆ ออกไป และก้าวเดิน...แต่ก็ต้องชะงักอีกครั้ง

      ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดขลิบริมด้วยลูกไม้ถักมือสีเขียวก้านมะลิซึ่งถูกพับอย่างเรียบกริบเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ วางเด่นอยู่บนพื้นถนน บริเวณที่เขาคนนั้นยืนอยู่เมื่อครู่...

      “แม่บัว...” ชายหนุ่มร่างสูงก้าวยาวๆ สู่ศาลาไม้ทรงแปดเหลี่ยมกลางน้ำอันเป็นที่นิยมอย่างมากในบ้านขุนนางใหญ่ๆ เขาหัวเราะเบาๆ กับเสียงอุทานอย่างตกใจของบรรดาบ่าวสาวน้อยสาวใหญ่ที่นั่งเฝ้าเจ้านายสาวน้อย ต่างพากันกรูหลบทางให้เขาเป็นการใหญ่

      รอยยิ้มเบิกบานราวกับดอกไม้ยามเช้าทำให้ดวงหน้าเล็กๆ ของสาวน้อยแจ่มกระจ่างเมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มก้าวเข้ามา

      “คุณพี่...มาตั้งแต่เมื่อไรกันคะ” สาวน้อยเอ่ยถามหลังจากไหว้ชายหนุ่มอย่างอ่อนช้อย พลางขยับตัวไปยังอีกมุมหนึ่งของตั่งเตี้ย ให้เขาได้นั่งลงอีกข้าง

      ชายหนุ่มทรุดนั่งลง ริมฝีปากหนาหยักยิ้มน้อยๆ กับบรรดาพี่เลี้ยงนางนมของสาวน้อยที่มองเขาอย่างดุๆ เพราะพยายามขยับเข้าชิดนายสาว

      “มาได้สักพักแล้วจ้ะ พี่ขึ้นไปกราบเจ้าคุณลุงที่เรือนใหญ่มาแล้วจึงมาหาเจ้า คิดถึงแม่บัวเหลือเกิน”

      สาวน้อยหลุบตามองมือที่กำลังปักผ้า สองแก้มระเรื่อกับคำพูดและน้ำเสียงที่ทอดหวานหูเหลือเกินในระยะหลังนี้

      “แม่บัวไม่คิดถึงพี่บ้างหรือ” เขาไม่สนใจเสียงกระแอมกระไอของบรรดาบ่าวสูงวัยซึ่งทำหน้าที่ราวกับเป็นโขลนเฝ้าสาวน้อย “หืม...แม่บัว”

      ผ้าที่อยู่ในมือบางเกือบยับเพราะน้ำเสียงนุ่มๆ ที่เร่งเร้า
      สาวน้อยช้อนสายตาขึ้นก็แทบสะท้านกับนัยน์ตาสีนิลที่จ้องตรงมา

      ทำไม...สบตาพี่เสาร์ทีไรหัวใจของหล่อนจึงเต้นแรงหนักหนา ราวกับเป็นไข้สูง

      เมื่อก่อนไม่เคยเป็นอย่างนี้

      “หรือเจ้าไม่คิดพี่บ้างเลย” น้ำเสียงกับนัยน์ตาที่เจือแววตัดพ้อทำให้สาวน้อยละล่ำละลักโดยไม่รู้ถึงเล่ห์ของผู้สูงวัยกว่า แก่ประสบการณ์กว่า

      “คะ...คิดถึงค่ะ”

      เสาร์ยิ้มกับน้ำเสียงแผ่วเบาของสาวน้อยตรงหน้า ใคร่อยากจะกวาดบรรดาบ่าวที่เฝ้าหล่อนอยู่ให้ตกน้ำไปเสียหมดแล้วอุ้มร่างอิ่มเข้ามาในอ้อมอกนัก แต่แค่นี้เขาก็ได้รับอภิสิทธิ์มากมายเหลือเกินแล้วที่ได้ใกล้ชิดสาวน้อยเช่นนี้

      เขาไม่เคยคิดเหมือนกันว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ลูกสาวของเพื่อนสนิทมารดาที่มารดาของเขาชอบพามาบ้านบ่อยๆ ในช่วงหลายปีที่เขาไปร่ำเรียนเมืองนอกหล่อนจะกลายเป็นสาวน้อยตรงหน้า สาวน้อยซึ่งอาจจะไม่ใช่คนสวยจัด แต่ก็จับใจเขาอย่างประหลาด ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาพบหล่อน

      ขณะนั้นพลบค่ำเขากำลังเดินผ่านสวนโรมันด้านหลังของพระที่นั่งในพระราชวังพญาไทอันเป็นที่ประทับในองค์พระเจ้าอยู่หัว บรรยากาศตอนนั้นเงียบนักไม่มีใครผ่านไปมา อยู่ๆ ก็มีข้าหลวงนางหนึ่งวิ่งอ้อมพุ่มไม้เข้ามาชนเขาเข้าอย่างจัง

      เสาร์รู้สึกว่าหัวใจของเขากระเด็นออกไปตั้งแต่สบตาของสาวน้อยข้าหลวงนางนั้น

      เขาต้องเพียรเสาะหาอยู่พักใหญ่กว่าจะรู้ว่าสาวน้อยคนนั้นเป็นคนใกล้ตัวเขาเอง เขานึกเจ็บใจที่ตั้งแต่กลับมาจากยุโรปจนเข้ารับราชการอยู่นานแต่กลับไม่เคยได้พบเจ้าหล่อนเลย เพราะยามเขาติดตามบิดามารดามาหาเพื่อนสนิทของท่านก็ได้รับรู้ว่าแม่บัวนั้นเป็นข้าหลวงอยู่ในตำหนักหนึ่ง คลาดแคล้วกันโดยตลอดแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก จนกระทั่งเขาทราบว่าแม่บัวคือข้าหลวงคนนั้น เขาก็ไม่ยอมให้เกิดการคลาดกันอีกแล้ว

      โชคดีที่บิดามารดาของเขาเห็นใจเขาและก็พอใจแม่บัวอยู่ก่อนแล้ว จึงสนับสนุนเต็มที่ และฝ่ายท่านเจ้าคุณบิดาและคุณหญิงมารดาของแม่บัวก็ไม่ได้นึกรังเกียจเขา

      ก็มีแต่สาวน้อยนี่แหละที่เขาต้องพิชิตใจให้ได้

      ศนิมองหญิงสาวที่ก้มๆ เงยๆ อยู่บริเวณถนนแล้วอมยิ้มน้อยๆ ตอนนี้เขาอยู่บนชั้นสองของทางเชื่อมในหมู่ตึกโบราณมองหล่อนอยู่พักหนึ่งแล้ว

      ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาจำหล่อนได้

      ผู้หญิงที่เขาเคยเห็นหน้าเพียงไม่ถึงนาทีและพูดด้วยแค่สองสามประโยค แต่เวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านไปเขายังจำหล่อนได้

      จำได้เหมือนความฝันที่มาเยือนเขายามค่ำคืนเป็นประจำ...

      วันนี้หล่อนก็แต่งตัวคล้ายเมื่อสัปดาห์ก่อนคือกางเกงยีนและเสื้อยืดพอดีตัว ต่างเพียงแค่ว่าตอนนี้หล่อนมีกล้องถ่ายรูปขนาดเล็กอยู่ในมือ และดูเหมือนว่าตลอดห้านาทีที่เขายืนมองหล่อนอยู่นี้หล่อนยังไม่หยุดมือที่กดชัตเตอร์เลย

      จากชั้นสองของตึกยังเห็นชัดว่าเจ้าหล่อนชอบใจแค่ไหนกับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่

      ศนิชะงักเท้าที่จะก้าวหลบไปในมุมเสาเมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมา

      ‘จะหนีอะไรล่ะ’ เขาถามตัวเอง

      ปัทม์ลดมือที่ถือกล้องถ่ายรูปชนิดดิจิตอลที่มีหน่วยความจุสามารถถ่ายภาพได้หลายร้อยภาพโดยไม่ต้องกลัวเปลืองฟิล์มซึ่งกำลังนิยมในขณะนี้ลงข้างกาย หลังจากพบว่าภาพสุดท้ายปรากฏภาพผู้ชายคนหนึ่งอยู่ด้วย

      และเขาก็กำลังมองมายังหล่อน

      ปัทม์สบสายตากับคนที่ยืนอยู่บนทางเชื่อมอาคารโบราณสองอาคาร

      หญิงสาวหายใจเข้าลึกเมื่อนึกออกว่าผู้ชายคนนี้คือใคร

      เจ้าของผ้าเช็ดหน้าแสนหวานผืนนั้น...

      ปัทม์แทบจะตกใจกับความจำของตัวเอง คนที่พบหน้ากันเพียงครั้งเดียวและไม่ถึงนาที ทำไมหล่อนถึงจำได้แม่นยำขนาดนี้ทั้งๆ ที่หล่อนเป็นคนจำคนไม่ค่อยเก่ง

      สองสายตาประสานกันนิ่งนาน

      จนกระทั่งฝ่ายชายเป็นคนขยับและเดินลับหายเข้าไปในตัวอาคาร

      ปัทม์ยืนนิ่งรู้สึกใจหายแกมขัดใจอย่างบอกไม่ถูกที่เขาเดินหนีไป

      ความรู้สึกเหมือนได้พบของอย่างหนึ่งที่หายไปนานกำลังจะได้ชื่นชมแต่กลับหายลับไปอีกถาโถมเข้ามา

      ตาบ้า...

      หญิงสาวร้องในใจ มือกำหมัดแน่น หันรีหันขวางอย่างทำอะไรไม่ถูก

      อีกแล้วนะที่เดินหนีไป... ถ้าทำอีกล่ะก็...

      ปัทม์เม้มริมฝีปากอย่างตกใจในความคิดของตัวเอง

      ทำไมหล่อนจะต้องสนใจอะไรมากมายกับคนแปลกหน้า เขาจะไปไหนก็ช่างสิ... ไปเลย

      แล้วหล่อนจะไม่คืนผ้าเช็ดหน้าให้ คอยดูสิ

      “มาชมวังหรือครับ” เสียงทุ้มๆ ที่ดังจากข้างหลังทำเอาปัทม์แทบสะดุ้ง หล่อนค่อยๆ หันไปเพราะเกรงว่าจะเป็นแค่ความคิดของตัวเอง

      ดวงหน้าเข้มราวกับรูปสลักของนักรบโบราณยืนอยู่ตรงหน้าทำให้หญิงสาวแทบหายใจไม่ออก


      นางนี้ที่ฝัน...รูปโฉมโนมพรรณ หาผิดไม่

      ชายหนุ่มถอนใจน้อยๆ ก่อนคลี่ยิ้มกับท่าทางเบิกตาโตของหญิงสาวตรงหน้า ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกันที่ทำให้เขาตัดสินใจมาหาหล่อน และเขาไม่คิดจะเสียเวลาค้นหาด้วย

      “คุณ...” ปัทม์เอ่ยออกมาได้คำเดียว

      “ศนิครับ” เขาตอบทั้งที่รู้ว่าคำนั้นไม่ใช่คำถาม

      ปัทม์หุบปากฉับ พูดอะไรไม่ออกกับยิ้มของผู้ชายตรงหน้า
      เอ่อ...รบกวนใครสักคนช่วยตอบหน่อยได้ไหม
      ทำยังไงดีถ้ามีผู้ชายหล่อๆ มายิ้มให้

      “แล้วคุณล่ะครับ”

      “ปัทม์...ค่ะ” หล่อนตอบแม้จะยังไม่ค่อยมีสติเท่าไร

      โธ่...ก็จะให้ทำยังไงดีล่ะ

      “ปัด...ลูกปัดหรือครับ” เขาถามทั้งๆ ที่แน่ใจว่าไม่ใช่คำนี้เป็นอันขาด

      “ปัทม์ ดอกบัวต่างหาก” ปัทม์แก้แล้วก็ร้องอยู่ในใจว่าทำไมผู้หญิง อึด ถึก แกร่ง อย่างหล่อนถึงอ่อนลงเพราะแววตาของผู้ชายบางคน

      “แม่บัว...” ศนิพึมพำและก็นิ่งอึ้งกับชื่อที่หลุดออกมาจากปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว

      ปัทม์ผงะทำท่าจะถอยหลังแต่ถูกมือใหญ่คว้าข้อมือไว้ก่อน

      “ผมขอโทษ...” เขาเอ่ยอย่างร้อนรน เกรงว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเข้าใจผิด “อยู่ๆ มันก็แวบเข้ามาในสมองของผม”

      ไม่จริง...ไม่ใช่

      ‘แม่บัว...’ เสียงทุ้มนุ่มแสนอบอุ่นในความฝันที่หล่อนฝันเป็นประจำ

      เป็นไปไม่ได้...

      ปัทม์บอกกับตัวเอง

      “ว๊าย...” ปัทม์ร้องเมื่อถูกกระชากให้เซไปปะทะอะไรหนาๆ แต่ไม่แข็งกระด้าง เสียงเครื่องยนต์ดังอยู่ใกล้ๆ หู

      “ขอโทษครับ...เมื่อกี้รถแล่นมาเร็วมาก”

      ศนิกระซิบบนกลุ่มผมนุ่มที่เขาได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆ เขาอยากเอามือลูบไล้เส้นผมดูว่ามันจะนิ่มอย่างที่เขาคิดหรือเปล่า ก่อนจะปล่อยหญิงสาวออกอย่างเสียดาย เขาไม่เคยคิดอยากฉวยโอกาสกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่สำหรับผู้หญิงตรงหน้า คนที่เขารู้แค่ว่าชื่อปัทม์คนนี้กลับทำให้เขาอยากกักหล่อนไว้ในอ้อมแขนนานๆ

      ปัทม์รู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนจัด ซึ่งเดาได้ว่าคงแดงเถือกไปทั้งหน้านั่นแหละ ไม่เคยเลยที่จะรู้สึกอย่างนี้มาก่อน หัวใจเต้นเร็วราวกับจังหวะเพลงร็อค

      “ขะ...ขอบคุณค่ะ”

      ศนิสะบัดหน้าเบาๆ ให้ตื่นจากมนตราอะไรก็ตามแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผล

      “บะ...เอ่อ...คุณปัทม์มาชมวังหรือครับ” เขาขบริมฝีปากไม่ให้เอ่ยชื่อ ‘บัว’ ที่เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเอามาจากไหน นัยน์ตาสีอ่อนของหล่อนเปล่งประกาย เขากวาดตามองทั่วใบหน้า

      มองแวบแรกหล่อนไม่ใช่คนสวยสะดุดตา แต่ถ้าให้พิศกันจริงๆ แล้วจะเห็นว่าหล่อนเป็นคนสวยทีเดียว ทั้งคิ้วเรียว จมูก ปาก แก้ม และนัยน์ตาวาววับ ทุกอย่างไม่มากไปน้อยไป

      อย่างนี้เองที่โบราณเรียกว่า สวยพิศ
      คือยิ่งดูยิ่งสวย

      “วัง...เอ่อ ใช่ค่ะ” ปัทม์ตอบงงๆ หล่อนไม่รู้ว่าที่นี่คืออะไร รู้แต่ว่าสะดุดใจและชอบตึกโบราณสวยๆ ที่ตั้งเรียงรายตรงนี้อย่างมาก หล่อนจึงหาเวลามาที่นี่อีกครั้งให้ได้

      ศนิยิ้มที่มุมปาก ไม่แปลกใจนักเพราะหายากที่ใครจะรู้ว่าบริเวณใกล้ๆ กับศูนย์รวมการขนส่งมวลชนของกรุงเทพ มีอดีตพระราชวังอันรุ่งเรืองตั้งอยู่

      “ครับ... พระราชวังพญาไท”


      ขณะที่เดินเคียงร่างสูงใหญ่ราวกับนักรบโบราณปัทม์รู้สึกว่าอยากมีสมุดและปากกามาด้วย เพื่อจะจด...และจดทุกอย่างที่ออกมาจากริมฝีปากหนาหยักของคนที่ตั้งตัวเป็นมัคคุเทศก์พาหล่อนชมพระราชวังนี้

      ตึกโบราณสวยๆ ซึ่งหล่อนติดใจหนักหนานี้ หล่อนเพิ่งทราบว่าเป็นที่ประทับขององค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีราชเจ้า องค์รัชกาลที่ ๖ แห่งราชวงค์จักรี

      “ความจริงพระราชวังพญาไทสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยองค์พระพุทธเจ้าหลวง” ศนิหันไปสบตาที่ดูงงๆ กับคำพูดของเขา

      “รัชกาลที่ ๕ ครับ โปรดเกล้าให้สร้างพระตำหนักขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับพักร้อน”

      “พักร้อนเหรอคะ”

      ศนิหัวเราะกับสีหน้าของหล่อน

      “คุณปัทม์ต้องนึกย้อนไปเมื่อร้อยปีก่อนนะครับ ตอนนั้นเขตกำแพงพระนครรัศมีจากวังหลวง...เอ่อ...พระบรมมหาราชวังไม่ไกลเลยครับ ขนาดวัดสระเกศยังอยู่นอกกำแพงแล้วครับ รู้จักวัดสระเกศไหมครับ”

      ปัทม์พยักหน้า

      “วัดภูเขาทองใช่ไหมคะ ปัทม์เคยไปงานวัดค่ะ ไม่นึกว่ากรุงเทพจะมีงานวัดกับเขาด้วย”

      ศนิยิ้มกับท่าทางกระตือรือร้น

      “เพราะฉะนั้นแถวนี้นะครับ แต่ก่อนเป็นทุ่งนาริมคลองพญาไท เรียกได้ว่าบ้านนอกขนานแท้เลย”

      ปัทม์หัวเราะกับคำพูดติดตลกของอีกฝ่าย

      ไม่น่าเชื่อว่าเวลาผ่านไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลง บริเวณที่เรียกว่าบ้านนอกของเมื่อร้อยกว่าปีกลับกลายเป็นใจกลางเมืองไปเสียได้

      “หลังจากที่องค์พระพุทธเจ้าหลวงสวรรคต สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถซึ่งเป็นพระราชชนนีขององค์รัชกาลที่ ๖ ได้เสด็จย้ายจากวังหลวงมาประทับที่นี่แทน” เขาเดินนำหญิงสาวไปยังอาคารชั้นเดียวที่อยู่ด้านหน้าของหมู่อาคารสีไข่

      “พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ครับ เป็นพระที่นั่งที่สร้างในช่วงสมเด็จพระศรีพัชรินทราประทับอยู่ที่นี่ ส่วนพระตำหนักอื่นๆ รุ่นเดียวกันถูกรื้อไป”

      “สวยมากเลยค่ะ ดูลักษณะแปลกแล้วก็ไม่ค่อยเคยเห็นที่ไหนเลยค่ะ”

      “อาคารนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่เรียกว่าไบเซนไทล์ครับ เป็นอิทธิพลของศิลปะแบบมัวร์ ไม้ฉลุลายเรขาคณิตผสานกับดอกไม้ที่ประดับอยู่นี่สวยมากครับ”

      ปัทม์เงยหน้าขึ้นมองตามชายหนุ่มพร้อมกับมือที่ยกกล้องขึ้นกดอย่างไม่ต้องเสียดายฟิล์ม ลักษณะอาคารคล้ายกับรูปไม้กางเขน สมมาตรกันทุกด้าน ตัวอาคารเหมือนมีสองชั้นแต่ความจริงเป็นอาคารชั้นเดียวเพดานสูง ส่วนที่เหมือนชั้นสองมีเพียงระเบียงเล็กๆ ล้อมรอบเป็นทางเดิน หลังคาเป็นโดมกลมแบบเรียบง่าย

      “เอ... ตัวอักษรนี่คืออะไรเหรอคะ”

      นอกจากไม้ฉลุงดงามและการเขียนสีแล้วยังมีตัวอักษรที่ไขว้กันประดับเหนือช่องลม

      “ส ผ เป็นพระนามเดิมของสมเด็จพระศรีพัชรินทราท่านครับ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ถือว่าเป็นท้องพระโรงของพระองค์ท่านครับ”

      ศนิมองดวงหน้าเนียนละเอียดอย่างเผลอๆ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะลงมือทำอะไรประหลาดๆ อย่างนี้มาก่อน คือการคะยั้นคะยอเป็นมัคคุเทศก์พาหล่อนเที่ยวชมวัง

      แม่บัว...
      เขาเผลอเรียกหล่อนในใจอย่างนี้อีกแล้ว

      “เดี๋ยวเราไปกราบถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์ขององค์รัชกาลที่ ๖ กันก่อนดีกว่าครับ” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังจากที่ปล่อยให้หล่อนเก็บภาพพระที่นั่งเทวราชสภารมย์จนพอใจแล้ว

      “อุ๊ย...” ปัทม์อุทานเบาๆ เมื่อก้าวถอยหลังพลาดไปเหยียบรากไม้แต่ไม่ล้มเพราะมีมือแข็งแรงคว้าแขนหล่อนไว้ก่อน

      “ขะ... ขอบคุณค่ะ”

      ศนิปล่อยแขนหญิงสาวอย่างไม่เต็มใจนัก

      ปัทม์ไม่รู้ว่าทำไมสบตาเขาทีไรก็จะร้อนหน้าทุกที
      หล่อนเดินตามร่างสูงใหญ่ไปที่สนามหญ้าเขียวขจี

      สองหนุ่มสาวทรุดตัวลงนั่งที่ลานหน้าพระบรมรูปท่ามกลางแสงอาทิตย์กล้าอยู่เป็นครู่ ก่อนจะลุกขึ้นมาอย่างเงียบๆ ศนิเดินนำหญิงสาวอ้อมไปด้านหลังพระบรมรูปซึ่งเป็นอาคารเตี้ยๆ ด้านหน้าหมู่อาคารสองชั้น

      ศนิผลักประตูไม้หนาหนักของอาคารหลังเล็กเข้าไป ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศพุ่งมาปะทะร่างทั้งสอง ปัทม์สะท้านน้อยๆ เพราะอากาศภายนอกนั้นถือว่าร้อนจัดในช่วงสายของเมืองไทย แต่สักครู่ร่างกายก็สามารถปรับตัวเองได้

      “ชอบดื่มกาแฟไหมครับ” ศนิถามเพราะภายในอาคารหลังเล็กด้านหนึ่งนั้นเป็นมุมของร้านกาแฟและอาหารประเภทที่ทำง่ายๆ ส่วนอีกด้านนั้นจัดเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งรับประทานได้

      ปัทม์พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น

      “ชอบสิคะ” หล่อนกวาดตามองทั่วห้องอย่างสนใจ ปัทม์บอกตัวเองว่าไม่ใช่คนติดกาแฟ แต่ก็จะดื่มทุกครั้งที่มีโอกาสซึ่งโอกาสนั่นก็มีอยู่เกือบทุกวัน

      “ถ้าอย่างนั้นเราหาอะไรทานเล็กๆ น้อยๆ ก่อนดีกว่านะครับ เพราะเดี๋ยวเราจะได้ดูพระที่นั่งอื่นๆ แบบไม่ต้องกลัวหิว” ศนิตั้งใจว่าจะยืดเวลาในการอยู่กับหญิงสาวออกไปให้ได้นานที่สุด จะอธิบายทุกอย่างให้ละเอียดลออเลยทีเดียว

      ปัทม์ยิ้มเขินๆ แล้วทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่เขาเลื่อนให้ เพราะไม่ชินกับมารยาทแบบนี้ ก็ส่วนใหญ่บรรดาผู้ชายที่หล่อนรู้จักนั้นก็เป็นเพื่อนชนิดที่ไม่คิดจะใส่ใจเรื่องการดูแลผู้หญิงเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้

      “ขอบคุณค่ะ”

      ศนิมองท่าทางเขินๆ ของหล่อนอย่างพึงใจ เขาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

      “ดื่มอะไรดีครับ”
      หล่อนกวาดสายตามองรายการอาหารและเครื่องดื่มของร้านซึ่งก็พบรายชื่อกาแฟที่ไม่ต่างจากร้านทั่วไปนัก

      “มอคค่าเย็นค่ะ”

      ร่างสูงๆ ลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อไปยังเคาน์เตอร์ที่มีพนักงานสาวประจำอยู่ ปัทม์เห็นเขาทักหญิงสาวคนนั้นอย่างคุ้นเคยแต่ไม่ได้ยินว่าพูดอะไรกัน ปัทม์หันหน้าไปทางอื่นเพราะรู้สึกไม่อยากมองท่าทางคุ้นเคยของศนิกับผู้หญิงคนอื่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

      แม้หล่อนจะไม่ได้ถามว่าศนิเป็นใครและอะไรอยู่แถวนี้ถึงดูคุ้นเคยนัก แต่จากที่จำได้ครั้งก่อนหล่อนเดาว่าเขาคงเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฎนี่แหละ เพราะว่าคงไม่มีใครใส่เสื้อกราวน์เดินไปมาแถวนี้ ในโรงพยาบาลอาจจะมีคนที่สวมเสื้อกราวน์อยู่มากมายหลายตำแหน่ง แต่ท่าทางของศนิฉายชัดว่าคงเป็นหมอแม้จะดูไม่เหมือนหมอทั่วไปนัก

      หมอที่ท่าทางดุๆ เหมือนพวกทหาร

      ไม่รู้ว่าความคิดของหล่อนพุ่งแรงไปหรือเปล่าเพราะว่าก่อนที่หล่อนจะถอนสายตาไป ศนิหันกลับมา

      เฮ้อ... คนอะไร ยิ้มน่ารักชะมัด

      ปัทม์ถอนใจ...ไอ้ที่ขุ่นๆ ในใจอย่างไม่มีสาเหตุนั่นก็หายไปไหนไม่รู้ แบบนี้มันอันตรายต่ออวัยวะที่ต้องสูบฉีดโลหิตของหล่อนชะมัด

      ไม่ไหวๆ เดี๋ยวหัวใจวายเพราะทำงานหนักเกินไป

      ปัทม์จำเป็นต้องหาเป้าสายตาใหม่แทนร่างสูงๆ ที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ สายตาของหล่อนจึงเวียนกลับมายังรายการอาหารและเครื่องดื่มของร้านที่หล่อนดูอยู่เมื่อครู่

      ‘ร้านกาแฟนรสิงห์’
      ปัทม์สะดุดใจเอาชื่อร้านที่อยู่บนหัวกระดาษ

      ปกติแล้วร้านกาแฟที่หล่อนเห็นอยู่ทั่วไปมักจะใช้ชื่อภาษาอังกฤษหรือภาษาทางตะวันตกอื่นๆ เป็นส่วนใหญ่ ไม่เคยเจอภาษาไทยแท้แบบนี้...อ้อ แต่จะเรียกว่าไทยแท้ก็คงไม่ได้เพราะคำว่า นรสิงห์ นี่หน้าตาท่าทางจะออกไปทางบาลีสันสกฤตมากกว่า

      สงสัยจะตั้งให้เข้ากับบรรยากาศโบราณๆ

      ศนิกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับมอคค่าเย็นของหญิงสาวกับเอสเพรสโซ่ร้อนของเขา

      ปัทม์เห็นแก้วของเขาแล้วยิ้มน้อยๆ

      นึกแล้วไม่มีผิด หน้าเข้มๆ อย่างนี้คงชอบอะไรที่มันเข้มๆ เหมือนกัน

      “ร้านนี้ชื่อเก๋นะคะ” หล่อนเอ่ยขึ้นอย่างหาเรื่องคุยก่อนที่จะทำตัวเป็นคนปัญญาอ่อน เอาแต่จ้องหน้าเขาอย่างเดียว

      ศนิอมยิ้ม

      “ครับ... เขาตั้งชื่อร้านตามร้านกาแฟของเจ้าพระยารามราฆพ ร้านกาแฟยุคแรกๆ ของบ้านเราน่ะครับ”

      “คะ...” ปัทม์ชะงัก นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับชื่อร้าน

      ร้านกาแฟของเจ้าพระยา... ฟังดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นร้านสมัยโบราณ

      “เจ้าพระยารามราฆพท่านเป็นมหาดเล็กคนสนิทของรัชกาลที่ ๖ ครับ สมัยนั้นท่านมีร้านอะไรต่อมิอะไรหลายร้านทีเดียว อย่างร้านถ่ายภาพนรสิงห์ ร้านกาแฟนรสิงห์”

      “โอ้โห... น่าสนใจจังเลยค่ะ” ปัทม์นึกย้อนไปในสมัยรัชกาลที่ ๖ ตั้งเกือบร้อยปีก่อน สมัยนั้นมีร้านกาแฟด้วย... เก๋ชะมัด

      นัยน์ตาวิบๆ ของหญิงสาวตรงหน้าทำให้ศนิมองตามตาปรอย

      “ช่วงรัชกาลที่ ๖ เป็นยุครุ่งเรืองของวัฒนธรรมตะวันตกครับ ความจริงก็เริ่มแพร่หลายมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวังหรือบ้านขุนนางต่างก็สร้างกันแบบตะวันตก ทั้งที่ถอดแบบมาแล้วก็มาประยุกต์กับของบ้านเรา เพราะเจ้านายและบุตรหลานขุนนางไปเรียนยุโรปบ้าง อเมริกาบ้าง วัฒนธรรมฝั่งโน้นก็เลยสะพัดมาทางบ้านเรา ดูง่ายๆ อย่างวังนี้นะครับ”

      ปัทม์มองตามมือแข็งแรงที่วาดไป

      “ทั้งตัวหมู่พระที่นั่งและสวนก็เป็นแบบยุโรปทั้งนั้น แต่ปรับให้เข้ากับสภาพอากาศร้อนแบบบ้านเรา ก็บ้านเราเป็นเมืองร้อนนี่ครับท่านก็เลยโปรดให้เพิ่มบานหน้าต่างยาวๆ และมีช่องลมเยอะๆ เพื่อถ่ายเทอากาศ ท่านไม่โปรดพัดลม”

      ปัทม์ได้ตาโตอีกรอบ

      “สมัยนั้นมีพัดลมแล้วเหรอคะ”

      “มีสิครับ แต่ก็ไม่ใช่แบบเสียบปลั๊กแล้วกดสวิซต์แบบสมัยนี้นะครับ”

      ปัทม์พยักหน้าหงึกๆ เหมือนนักเรียนตั้งใจฟังคุณครู

      “องค์รัชกาลที่ ๖ ท่านโปรดตึกแบบเรียบง่ายครับ พวกงานปูนปั้นประดับอาคารนี่จะค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะเน้นงานไม้ฉลุอย่างช่องลมพวกนั้นมากกว่า พระตำหนักหรือพระที่นั่งที่โปรดให้สร้างอย่างพระราชวังสนามจันทร์ พระราชนิเวศน์มฤคทายวันก็จะคล้ายๆ กันคือ เน้นความโปร่งสบายๆ แต่ก็งามสง่าอยู่ในตัว”

      “แล้วตอนนี้ที่นี่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์หรือว่าใช้เป็นตึกทำการของโรงพยาบาลคะ”

      “ที่นี่ถูกเปลี่ยนมาหลายอย่างแล้วครับ เพราะเมื่อสิ้นรัชกาลที่นี่ก็ถูกปิดไปสักระยะ แล้วถูกปรับเป็นโรงแรม”

      “คะ... โรงแรม”

      ศนิผงกศีรษะ ยิ้มขมๆ ที่มุมปาก

      “ครับ... ชื่อ พญาไทโฮเต็ล เป็นโรงแรมชั้นหนึ่งที่ขึ้นชื่อของสมัยนั้นเลยครับ หรูหราเป็นที่สุด” เขาพยายามทำใจว่าทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลง เมื่ออะไรที่อยู่สูงสุดมันก็จะต้องตกลงมาเป็นธรรมดาของโลก “จากนั้นก็เป็นสถานีวิทยุ และมาอยู่ในความดูแลของกรมแพทย์ทหารกองทัพบก กลายเป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาล จนเดี๋ยวนี้ก็พยายามจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ครับ แต่ก็ยังไม่เต็มรูปแบบเพราะการปรับปรุงยังไม่แล้วเสร็จ”

      เสียงห้าวๆ ที่แฝงไปด้วยอารมณ์ขณะที่เล่าของศนิบอกให้หล่อนรู้อย่างไม่อยากนักว่าเขามีความผูกผันมากมายกับสถานที่แห่งนี้

      ปัทม์อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับเขามากนัก

      จากพระราชวังอันเฟื่องฟูที่มีข้าราชบริพารพรั่งพร้อม กลายมาเป็นโรงแรมรองรับผู้คนมากหน้า กระทั่งกลายมาเป็นโรงพยาบาล จนสุดท้าย...

      หล่อนเหลือบมองตราสัญลักษณ์ที่อยู่เหนือประตู

      ขอให้การปรับปรุงเสร็จโดยเร็วเถอะ ถึงจะไม่เหมือนเดิมแต่ก็ขอให้อดีตพระราชวังแห่งนี้กลับมางามสง่าเช่นเดิม

      “ตัว ร ร ๖ นี่คืออะไรเหรอคะ”

      ศนิกระพริบตา... ปล่อยสายธารอารมณ์อันหดหู่ออกไป พยายามเรียกรอยยิ้มกลับคืนมาอีกที

      “พระปรมาภิไธยครับ มาจากพระนาม รามรามาธิบดีที่ ๖ จะมีอักษรนี้ประดับอยู่ทั่ววังครับ รวมถึงบนของใช้ส่วนพระองค์ด้วย”

      “แล้วอาคารนี้เมื่อก่อนเคยเป็นอะไรเหรอคะ”

      “อาคารเทียบรถพระที่นั่งครับ และเป็นที่รอเฝ้าของบรรดาขุนนางด้วย อาคารนี้จะเชื่อมกับพระที่นั่งพิมานจักรีที่เป็นประธานของหมู่พระที่นั่งทั้ง ๔ องค์ อาคารนี้ยังมีด้านบนคล้ายๆ ดาดฟ้านะครับ เมื่อก่อนเคยเป็นสถานที่จัดเลี้ยงพระสุธารสชากับพระญาติและข้าราชการ”

      ปัทม์มองตามไม้สลักลวดลายลูกสนที่ประดับอยู่ในห้องอย่างชอบใจ เมื่อก่อนที่นี่คงมีขุนนางน้อยใหญ่นั่งรอเฝ้ากันอย่างคึกคัก

      สองหนุ่มสาวยังสนทนากันไปเรื่อยๆ เพราะกาแฟที่อยู่ตรงหน้ายังไม่หมดแก้ว ศนิเองก็ไม่ได้คิดจะเร่งการดื่มกาแฟนี้เลย ยิ่งคุยกันก็ยิ่งพบว่าเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าหล่อนรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าท่าทางของหล่อนนั้นดึงดูดสายตาของเขาได้มากขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นการจับแก้วน้ำ การเคลื่อนไหวของมือ การเอียงคอน้อยๆ เวลาพูด ขบริมฝีปากเบาๆ เวลาสงสัยหรือแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของริมฝีปากระหว่างพูด

      ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของเขากระจัดกระเจิงได้ง่ายดายเช่นนี้

      “แน่ใจนะคะว่าคุณไม่ใช่ไกด์ปลอมตัวมา” ปัทม์เอ่ยถามขณะเดินเคียงเขาออกจากอาคารเทียบรถพระที่นั่งสู่ทางเชื่อมเข้าพระที่นั่งพิมานจักรีที่ศนิพูดถึงเมื่อครู่

      คนถูกถามหัวเราะเบาๆ

      “แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ เพราะไกด์ตัวจริงน่ะ มาจากชมรมคนรักวังต่างหาก อย่างผมน่ะเป็นได้แค่ไกด์ผีเท่านั้น”

      เป็นไกด์ผีที่รู้มากจริงๆ หล่อนแอบค่อนในใจ แต่ปากเอ่ยถามถึงชื่อที่สะดุดหู

      “ชมรมคนรักวังเหรอคะ”

      “ครับ... พระราชวังพญาไทอยู่ในความดูแลของกรมแพทย์ทหารก็จริง แต่งานส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระราชวังนี้จะมีชมรมคนรักวังเป็นคนดูแลจัดการ สมาชิกก็มาจากคนที่ชื่นชอบวังตามชื่อนี่แหละครับ”

      ปัทม์พยักหน้าแล้วก็สงสัยว่าคนข้างๆ นี่เป็นสมาชิกกับเขาด้วยหรือเปล่า เพราะเท่าที่คุยกันมาศนิก็ท่าทางจะรักวังอยู่ไม่น้อย

      “หมู่พระที่นั่งสีไข่หลังคาแดงมีทั้งหมดสี่องค์นะครับ ทุกองค์มีทางเชื่อมถึงกันหมด เป็นพระที่นั่งที่สร้างในรัชกาลที่ ๖ ส่วนพระตำหนักต่างๆ ของพระพันปีทรงโปรดให้รื้อไปถวายวัด องค์แรกที่เราจะเข้าไปชมคือองค์ประธานนะครับ พระที่นั่งพิมานจักรี”

      ปัทม์ชะงักเท้า ยกมือขยี้ตากับภาพแปลกๆ ที่ซ้อนขึ้นมาของคนที่เดินนำหน้า อยู่ๆ คนที่สวมกางเกงแสล็คกับเสื้อเชิ้ตโปโลก็กลายเป็นเสื้อราชปะแตนกับผ้าม่วง

      หล่อนตาฝาดหรือมองเห็นภาพหลอนกันแน่...หรือว่า

      ปัทม์ไม่อยากคิดถึงอีกข้อสันนิษฐาน เพราะว่านี่มันกลางวัน แล้วแดดก็แสนจะร้อนแรงขนาดนี้ คงไม่มีอย่างว่าหรอกมั้ง หล่อนมองซ้ายมองขวาก่อนจะกลับมาที่แผ่นหลังกว้างที่กลับมาเป็นเสื้อเชิ้ตโปโลเช่นเดิมแล้ว

      เสียงถอนใจจากเบื้องหลังทำให้ศนิหันไปมองหญิงสาวอย่างเอ็นดู

      “ถอนใจอะไรใหญ่รึแม่บัว”

      “เปล่านี่คะคุณพี่”

      ทั้งคนที่ถูกเรียกว่าแม่บัวและคุณพี่ต่างก็อึ้งด้วยกันทั้งคู่


      ..............................................................................................................................

      บทท้าย

      สองสายตาประสานกันด้วยความหลากหลายในใจ ก่อนที่จะมีใครเอ่ยอะไรก็มีเสียงแทรกเข้ามา

      “คุณหมอพาเพื่อนมาชมวังเหรอคะ”

      ปัทม์หันไปทางสตรีวัยกลางคนที่มองมายังศนิและหล่อนยิ้มๆ

      “เอ่อ... ครับ” ศนิละสายตาจากหญิงสาวไปทางผู้มาใหม่ สายตาที่มองมาทำให้เขารู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้าอย่างไรไม่รู้

      เขารู้ว่าตัวเองนั้นเป็นเป้าหมายของข่าวซุบซิบข่าวหนึ่งของที่นี่เลยทีเดียว เพราะใครๆ ต่างก็จับตามองเขาเป็นพิเศษ การที่ผู้ชายอายุสามสิบเศษที่มีหน้าที่การงานและภูมิหลังอย่างเขายังอยู่ในสภาพโสดสนิทนั้นย่อมทำให้เกิดเสียงเล่าลือ

      เขาไม่เคยสนใจคำเล่าลือเหล่านั้น เพราะรู้ตัวดีว่าตนเองเป็นอย่างไร

      ไม่ใช่เขาไม่สนใจผู้หญิง แต่เพราะเขายังไม่เจอผู้หญิงคนนั้นต่างหาก

      “เที่ยวให้สนุกนะคะ ที่นี่มีอะไรน่าสนใจมากค่ะ มีคุณหมอเป็นมัคคุเทศก์อย่างนี้ยิ่งดีใหญ่เลยค่ะ”

      ปัทม์ยิ้มแหยๆ กับอีกฝ่ายที่ขยิบตาให้หล่อน ดูจากสายตาแล้วรู้สึกเหมือนฝ่ายนั้นจะเข้าใจเรื่องระหว่างศนิกับหล่อนผิดอย่างไรชอบกล

      “เพื่อนของคุณหมอน่ารักจังนะคะ ดิฉันขอตัวดีกว่าค่ะจะได้ไม่รบกวนคุณหมอ”

      ศนิถอนใจกับความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย แน่นอนว่าเรื่องนี้จะต้องกระหึ่มไปทั่วทั้งโรงพยาบาลและวิทยาลัยภายในไม่ช้านี้ เขาหันมาทางหญิงสาวอีกครั้ง

      ถามตัวเองว่าเดือดร้อนไหมกับข่าวนี้

      ใจของเขาตอบทันทีว่าไม่

      ปัทม์ยิ้มแห้งๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเช่นกัน แต่ดูเหมือนข้อสันนิษฐานของหล่อนจะถูกต้อง ศนิเป็นหมอจริงๆ

      “ผมว่าเราชมวังต่อดีกว่าครับ”

      ปัทม์ก้าวตามร่างสูงๆ ขึ้นไปยังบริเวณพระที่นั่ง สิ่งแรกที่หล่อนเห็นก็คือ นิทรรศการ ประวัติของพระราชวังแห่งนี้

      “พระที่นั่งองค์นี้มีสองชั้นครับ ที่น่าสนใจก็คือโดมแบบโกธิค ว่ากันว่ากระเบื้องมุงหลังคาโดมแต่ละรอบนั้นจะมีร้อยแผ่นพอดีทุกรอบ”

      ปัทม์ตาโตกับคำอธิบายของเขา ตึกเก่าๆ นี่มีอะไรน่าสนใจเยอะมาก

      ศนิพาหญิงสาวไปยังห้องท้องพระโรงซึ่งอยู่ชั่นล่าง ปัทม์อ้าปากค้างกับความงดงามของการตกแต่งภายในห้อง

      “ห้องนี้เป็นหนึ่งในห้องที่ตกแต่งเสร็จแล้วครับ จะเน้นสีทองเป็นส่วนใหญ่”

      อลังการงานสร้างเป็นบ้า... หญิงสาวร้องในใจ

      พื้นไม้เงาวับปูลายคชกริชแบบโบราณ ส่วนประธานของห้องคือเตาผิงแบบยุโรป เหนือเตาผิงมีพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานภายใต้วชิรมงกุฎ

      “สวยจังเลยนะคะ ดีจังที่ได้มาเห็นเป็นบุญตา”

      ชายหนุ่มอมยิ้มกับท่าทางของหญิงสาว บางครั้งหล่อนดูเหมือนเด็ก แต่ก็นั่นแหละถ้าจะให้เดาแล้วหล่อนน่าจะอายุน้อยกว่าเขาหลายปี

      “ครับ... ยังมีห้องสวยงามหลายห้องที่ตอนนี้กำลังเร่งบูรณะอยู่ครับ”

      ปัทม์เดินตามร่างสูงออกจากห้องท้องพระโรง ทั้งสองเดินเรื่อยๆ ตามทางเดินด้านข้างของห้องที่จะมีบอร์ดนิทรรศการตั้งอยู่เป็นระยะ ปัทม์ฟังเสียงทุ้มนุ่มที่อธิบายถึงห้องต่างๆ ที่เดินผ่านส่วนสายตาของหล่อนนั้นมองไปตามสิ่งที่น่าสนใจทั้งบานประตูไม้เนื้อหนาที่สลักลวดลายสวยงามแปลกตา ช่องลมเหนือประตูที่ช่างฝากฝีมือไว้อย่างประณีต โคมทองเหลืองโบราณ และที่สำคัญเพดานที่เขียนลวดลายต่างๆ ไว้อย่างงดงามโดยเฉพาะมวลดอกไม้ทั้งหลายซึ่งจะมีราชินีดอกไม้อย่างกุหลาบอยู่มากมายเป็นพิเศษ

      “ขึ้นไปชั้นบนกันก่อนนะครับ”

      ปัทม์พยักหน้าน้อยๆ ยังไงก็ว่าตามกันอยู่แล้ว

      บันไดไม้สีเข้มสลักลายพรรณไม้แม้จะลวดลายจะเรียบง่ายแต่ก็บ่งบอกฝีมือของช่างทำให้ปัทม์อดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก รู้สึกโชคดีอยู่บ้างที่ว่าการบูรณะยังไม่แล้วเสร็จ เพราะถ้าเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เมื่อไรการจะมาถ่ายภาพตามชอบใจอย่างนี้คงจะทำไม่ได้

      ปัทม์อดที่จะขำตัวเองไม่ได้ว่าเดินตามเขาแจราวกับเป็นนักเรียน

      ชั้นบนนั้นลักษณะห้องคล้ายกับชั้นล่าง ห้องส่วนใหญ่ถูกปิดไว้รอการบูรณะ แต่ก็ยังโชคดีที่ได้ชมห้องทรงพระอักษรเล็กบริเวณห้องใต้โดม ซึ่งมีตู้หนังสือไม้เก่าแก่ประทับตราพระปรมาภิไธย หนังสือพระราชนิพนธ์ในพระองค์ รวมถึงเครื่องใช้ส่วนพระองค์อีกหลายชนิด

      “ว่ากันว่าครุฑตัวนี้เป็นครุฑที่สวยที่สุดเชียวนะครับ” ศนิเอ่ยขึ้นเบาๆ เขาให้หญิงสาวได้สัมผัสกับบรรยายกาศด้วยความปลาบปลื้ม

      ปัทม์มองตามสายตาของเขาขึ้นไปยังเหนือประตู เห็นครุฑที่สลักจากไม้แบบคุ้นตาแต่กางปีกโค้งอย่างอ่อนช้อยงดงามกว่าที่เคยเห็นมา

      “สวยจริงๆ ด้วยค่ะ” หล่อนหันมาทางเขาอีกครั้งแล้วก็เกือบสะท้านกับนัยน์ตาสีนิลเข้มที่มองหล่อนอยู่ก่อน “เอ่อ...ข้างบนนี้เป็นอะไรเหรอคะ” หล่อนหาเรื่องถามเพื่อเบี่ยงเบนความรู้สึกไปจากนัยน์ตาล้ำลึก

      “เมื่อก่อนเคยเป็นห้องพระครับ ส่วนบนยอดสุดจะเป็นเสาธง ถ้าองค์รัชกาลที่ ๖ ประทับที่นี่ก็จะชักธงมหาราชขึ้น”

      ปัทม์มองแผ่นหลังกว้างในเสื้อเชิ้ตโปโลแล้วถอนใจน้อยๆ

      ทำไม... ปัทม์ถามตัวเองซ้ำๆ

      ทำไมหล่อนถึงรู้สึกว่าคุ้นเคยเหลือเกินกับผู้ชายคนนี้ รู้สึกว่าทำไมการเดินเคียงข้างและฟังเสียงทุ้มๆ อยู่ข้างหูอย่างนี้จึงเป็นธรรมชาติราวกับทำอยู่เป็นประจำ ทั้งๆ ที่หล่อนสาบานได้เลยว่าเพิ่งเคยเจอศนิเป็นครั้งที่สอง

      ปัทม์ไม่เคยเชื่อเรื่องความฝัน...

      หล่อนไม่เคยใส่ใจความฝันประหลาดในบางคืน

      แต่การได้พบกับศนิ... มันทำให้หล่อนหวนคิด

      “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ศนิหยุดเท้าหันกลับมาเมื่อเห็นหล่อนเงียบไป สะพานข้ามคลองเล็กๆ ที่เชื่อมระหว่างพระที่นั่งพิมานจักรีและพระที่นั่งศรีสุทธินิวาสอยู่ในความเงียบ ลมเอื่อยๆ ลอยมาปะทะสองร่างที่หยุดยืนอยู่กลางทาง

      “ปละ...เปล่าค่ะ” ปัทม์ปฏิเสธอุบอิบ

      ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี

      ศนิรู้ว่ามีอะไรแน่ๆ แต่เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ให้หล่อนพูด เพราะเขาเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันเพราะอะไรจึงอยากรู้ทุกเรื่องของหล่อนหนักหนา แค่ต้องสะกดคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวกับหล่อนก็ยากมากมายนัก

      “พระที่นั่งทั้งสี่มีทางเชื่อมกันทั้งหมดครับ ทั้งชั้นบนชั้นล่าง” เขาเริ่มสิ่งที่พูดง่ายกว่าเพื่อสร้างบรรยากาศสบายๆ “เดี๋ยวเราไปชมพระที่นั่งด้านตะวันตกกันครับ จะถือว่าฝั่งนี้เป็นฝ่ายในก็ได้นะครับ ความจริงสะพานตรงนี้เมื่อก่อนเป็นสะพานทึบนะครับ”

      “คะ...”

      “สังเกตกรอบตรงนี้นิดนึงนะครับ” เขาชี้ที่กรอบสีเขียวเข้มระหว่างเสาแต่ละต้น “ความจริงตรงนี้จะมีหน้าต่างอยู่ครับ เหมือนกับตรงด้านฝั่งพระที่นั่งศรีสุทธินิวาส”

      ปัทม์พยักหน้าแล้วมองตามของมือใหญ่ที่ชี้ลงไปยังห้องชั้นล่างที่มองเห็นจากชั้นบน

      “ตอนที่พระที่นั่งเป็นโรงพยาบาลนั้นห้องไม่พอครับ เขาเลยเอาหน้าต่างจากตรงนี้ไปติดเป็นหน้าต่างของห้องโล่งชั้นล่าง กั้นเป็นห้องใช้งานอีกห้อง”

      “แล้วตรงนั้นเป็นอะไรคะ” ปัทม์ชี้ไปยังอาคารสีฟ้าหลังเล็กที่อยู่ริมคลองน้ำ รูปทรงแปลกๆ หล่อนชะโงกมองอย่างสนใจ

      “อ๋อ... พระตำหนักเมขลารูจีครับ ก่อนที่จะสร้างพระที่นั่งองค์อื่นๆ เสร็จ พระองค์ท่านทรงใช้พระตำหนักหลังนี้เป็นที่ดูแบบก่อสร้างและก็ดูแลงานก่อสร้าง หลังจากที่พระที่นั่งแล้วเสร็จก็ทรงใช้เป็นที่ทรงพระเครื่องใหญ่...ตัดผมน่ะครับ ข้างในจะมีห้องอาบน้ำเป็นเหมือนสระน้ำขนาดเล็กและทดน้ำจากคลองอ่างหยก ทำให้น้ำเต็มอ่างเป็นที่สรงน้ำครับ”

      “น่ารักจังเลยนะคะ พระตำหนักนี้”

      ศนิยิ้มแล้วพาหญิงสาวเดินเข้าสู่พระที่นั่งทางตะวันตกสุดซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาคารที่มียอดโดมสีแดงเช่นกันกับพระที่นั่งพิมานจักรี เพียงแต่เป็นโดมเหลี่ยมและไม่มีห้องใต้โดม

      “แต่ก่อนพระที่นั่งนี้ชื่อ พระที่นั่งลักษมีพิลาส ตามพระนามของพระนางลักษมีลาวัณ พระชายาพระองค์หนึ่งของพระองค์ครับ แต่เปลี่ยนมาเป็นพระตำหนักศรีสุทธนิวาส”

      ปัทมอดไม่ได้ที่จะเก็บภาพช่องลมเหนือประตูซึ่งเปลี่ยนจากพระปรมาภิไธยย่อมาเป็นดอกไม้ รวมถึงภาพเขียนบนเพดานที่เป็นลายดอกไม้เช่นกันสมกับเป็นที่ประทับของฝ่ายใน การตกแต่งของพระที่นั่งนี้ค่อนข้างเรียบแต่งดงามอ่อนหวาน

      หล่อนเดินตามร่างสูงใหญ่ลงมายังชั้นล่างซึ่งได้ปรับปรุงห้องเป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการของกรมแพทย์ทหารบก

      “อ้าว... คุณหมอผู้พัน เชิญครับ” เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนร้องทักอย่างคุ้นเคยกับร่างสูงที่เดินนำหญิงสาวเข้าไปให้ห้องนิทรรศการอย่างดี

      ปัทม์เลิกคิ้วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกับคำเรียกขานนั้น

      “คุณหมอผู้พัน”

      ศนิยิ้มน้อยๆ ก่อนจะค้อมศีรษะเป็นการตอบรับแล้วอธิบายง่ายๆ

      “ผมเป็นหมอของกองทัพครับ จึงมีตำแหน่งทางทหารด้วย”

      “อืม... เป็นหมอด้วย เป็นทหารด้วย คำนำหน้าคงยาวพิลึกเลยแฮะ” ปัทม์พึมพำเบาๆ กำลังคิดถึงเหล่าอาจารย์ทั้งหลายที่มีคำนำหน้ายาวเยียด ยิ่งเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่คำนำหน้ายิ่งยาวเฟื้อย

      คนเป็นทั้งหมอทั้งทหารกลั้นยิ้ม ไม่บอกหล่อนว่าคำนำหน้าของเขานั้นยังมีมากกว่านี้

      จากพระที่นั่งศรีสุทธนิวาสทั้งสองเดินตามทางเชื่อมชั้นล่างข้ามคลองกลับมายังพระที่นั่งพิมานจักรีก่อนจะผ่านทางเชื่อมสั้นๆ ที่มีทางลงไปยังสวนด้านหลังเข้าสู่พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานซึ่งดูเหมือนหมู่ตึกเดียวกัน แต่ความจริงเป็นพระที่นั่งอีกองค์

      “แรกเริ่มพระที่นั่งองค์นี้ก็มีสองชั้นเหมือนองค์อื่นครับ แล้วต่อเติมชั้นสามเพื่อเป็นห้องพระบรรทม ทำให้พระที่นั่งองค์นี้เป็นตึกที่สูงที่สุดในละแวกนี้ ตอนที่กลายเป็นสถานีวิทยุเขาก็ดัดแปลงในส่วนของห้องพระบรรทมซึ่งอยู่บนสุดเป็นที่กระจายเสียง ยังมีร่องรอยของผนังบุเก็บเสียงเหลืออยู่ครับเดี๋ยวเราขึ้นไปดูกัน”

      ปัทม์ยังเดินตามร่างสูงๆ ที่เดินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพราะความน่าสนใจของพระที่นั่งต่างๆ ไม่ว่าจะเดินผ่านตรงไหนศนิก็มักจะมีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เล่าให้ฟังอยู่เสมอ แม้บางทีสายตาของเขาจะทำให้รู้สึกหัวใจเต้นผิดปกติไปบ้างก็ตาม

      ห้องพระบรรทมที่เขาเอ่ยถึงนั้นงดงามด้วยการตกแต่งลวดลายเถากุหลาบสีทองที่ดูราวกับมีชีวิต ภาพเขียนสีบนเพดาน แต่ที่น่าเสียดายก็คือผนังบุเก็บเสียงที่ถูกเสริมเข้าไปใหม่ปิดทับกระดาษปิดผนังงดงามที่หล่อนเห็นในห้องอื่น จนอดแปลกใจไม่ได้ว่าเมื่อก่อนนั้นเขามีกระดาษปิดผนังเหมือนปัจจุบันแล้ว

      “เขาว่ากันว่าที่นี่คือต้นกำเนิดของ มัทนพาธา ตำนานดอกกุหลาบ คุณปัทม์รู้จักไหมครับ”

      ปัทม์ค้อนน้อยๆ ถึงหล่อนจะไม่ใช่หนอนหนังสืออะไรมากมาย แต่ก็พอจะรู้จักหนึ่งในพระราชนิพนธ์เรื่องราวเกี่ยวกับนางมัทนา ผู้กลายเป็นดอกกุหลาบ

      แม้จะมีห้องถูกปิดไว้หลายห้องเพราะรอการบูรณะแต่ปัทม์ก็รู้สึกคุ้มค่าสำหรับการเดินชม แสงที่ส่องผ่านกระจกใสแผ่นยาวที่ศนิอธิบายว่าเป็นของใหม่ในสมัยนั้นในการใช้กระจกเป็นหน้าต่าง เพราะมักจะใช้บานเกล็ดไม้หรือบานกระทุ้ง ยิ่งทำให้ภายในอาคารดูโอ่อ่างดงาม

      ถ้าเป็นเมื่อครั้งรุ่งเรือง ปัทม์อดคิดไม่ได้ว่าพระราชวังแห่งนี้จะงดงามเพียงใด

      พระที่นั่งซึ่งอยู่ด้านตะวันออกสุดถัดจากพระที่นั่งไวกูณเทพยสถานถูกเชื่อมด้วยสะพานคอนกรีตสองชั้นเช่นเดียวกับพระตำหนักอื่น สองหนุ่มสาวเดินช้าๆ ราวกับจะทอดเวลาไม่ให้สิ้นสุด

      “พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ครับ สร้างเป็นองค์ท้ายสุด จะเน้นความเรียบง่ายและการตกแต่งก็ค่อนข้างน้อย แต่จุดเด่นคือลายฉลุใต้หลังคาจะค่อนข้างอ่อนหวานและรางน้ำรอบหลังคาจะมีท่อน้ำเป็นหัวสิงห์”

      ปัทม์เดินตามมัคคุเทศน์กิตติมศักดิ์อย่างผึ่งๆ เข้าไปในพระที่นั่งซึ่งปัจจุบันเป็นอาคารอำนวยการของโรงพยาบาล ทหารที่ประจำอยู่ลุกขึ้นทำความเคารพหมอทหารที่เดินนำหน้าหล่อนพรึบพรับ ดูว่าท่าทางเขาคง ‘ใหญ่’ ไม่น้อย

      “เหลือในส่วนของสวนโรมมันที่เป็นอุทยานด้านหลังพระที่นั่งที่เราเดินชมเมื่อครู่ครับ แต่ตอนนี้แดดกล้ามาก” ศนิรั้งหญิงสาวไว้ที่สะพานเชื่อมพระที่นั่งชั้นล่างหลังจากออกจากพระที่นั่งอุดมวนาภรณ์

      ปัทม์ชะโงกมองสนามหญ้าสีเขียวอย่างกระตือรือร้น

      “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ปัทม์หัวแข็งออก”

      ศนิส่ายหน้า...

      มิใช่เพราะคำๆ นี้หรอกหรือที่ทำให้เขาเสียแม่บัว...

      “น้องไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพี่...” เสียงแหบพร่าไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสบายใจขึ้นเลยสักนิด

      เสาร์กอดร่างบอบบางที่นอนซมด้วยพิษไข้มาเป็นวันที่ห้า ริมฝีปากที่เคยอวบอิ่มกลับแตกระแหง แก้มเนียนที่เคยระเรื่อด้วยเลือดฝาดกลับซีดตอบ

      “แม่บัวของพี่” น้ำเสียงที่เคยทุ้มกังวานครืออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาซบใบหน้าลงกับกลุ่มผมที่เคยนิ่มสลวยของภรรยาสาวน้อยที่เพิ่งแต่งงานกันมาได้ปีกว่า “ดวงใจของพี่...อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว” เขาไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นคำปลอบใจใครกันแน่

      เขาไม่น่าตามใจหล่อนเลย

      เสาร์คร่ำครวญอยู่ในใจ กอดร่างบางกระชับแน่นขึ้น กลัวเหลือเกินว่าหล่อนจะจากเขาไป ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงทนไม่ได้

      แม่บัวของเขาชอบน้ำเหลือเกิน เมื่ออยู่บ้านหล่อนก็ลงเล่นน้ำที่ท่าน้ำกับบ่าวไพร่เป็นประจำ ครานี้ตามเสด็จแปรพระราชฐานมาชะอำ แม่บัวได้เจอน้ำทะเลก็ยิ่งชอบหนักหนาลงเล่นน้ำไม่เว้นวัน ไม่ว่าจะแดดจ้าอย่างไร

      เขาเพียรจะห้ามก็ไม่ค่อยจะได้ผล

      “น้องหัวแข็งออก ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

      แต่โชคร้ายที่แดดแรงกล้ามากกว่าที่พระนครหลายเท่ากับน้ำทะแลเย็นจัดเป็นสิ่งที่แม่บัวไม่คุ้น ยอดดวงใจของเขาเป็นไข้หวัดใหญ่ในหน้าร้อนจัดอย่างนี้ ไม่ว่าจะตามหมอให้มารักษาอย่างไรอาการก็ไม่ดีขึ้น

      เสาร์แทบไม่เป็นอันทำอะไรได้แต่เฝ้าอยู่ข้างเตียง

      เวลาผ่านไปยิ่งทำให้เสาร์แทบคลั่ง

      “แม่บัวจ๋า...ดวงใจของพี่”

      มือบอบบางค่อยๆ ยกขึ้นอย่างอ่อนแรงแตะที่แก้มสากระคายของผู้เป็นสามี บัวรู้สึกถึงหยดน้ำชื้นๆ ก็สะอื้น

      พี่เสาร์ที่เข้มแข็งมาตลอดหลั่งน้ำตาเพราะหล่อน

      “น้องขอโทษ...”

      “อย่าพูดอย่างนั้น... พี่ต่างหากที่ต้องขอโทษที่ดูแลเจ้าไม่ได้” เสาร์นึกเจ็บใจตัวเองเหลือเกินที่ไม่มีความรู้เรื่องการรักษา แม่บัวจึงต้องเจ็บหนักเช่นนี้

      ทำไมตอนไปร่ำเรียนเขาถึงไม่เรียนวิชาการแพทย์ให้รู้แล้วรู้รอด

      “ถ้าชาติหน้ามีจริง... น้องจะเกิดมาแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ให้คุณพี่ไม่สบายใจ”

      “อย่า... แม่บัวอย่าพูดอย่างนั้น”

      บัวพยายามยิ้ม แต่น้ำตาไหลพราก

      ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าตัวเองเพียบหนักแค่ไหน

      “หวังว่าน้องคงมีบุญพอ... ได้พบกับคุณพี่อีก... นะคะ...”

      เสาร์ส่ายหน้ากับน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วงๆ อย่างอ่อนแรงของภรรยา เขาปล่อยให้น้ำตาไหลพรากอย่างไม่เกรงว่าใครจะมองอย่างไร

      ในเมื่อดวงใจจะลอยลับไป ยังจะต้องกังวลต่อสิ่งใด

      “แม่บัว... อย่าจากพี่ไป...อยู่กับพี่”

      “คุณ...คุณศนิ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

      ศนิสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เขากระพริบตาน้อยๆ ไล่ความทรงจำจากความฝันแต่ความรู้สึกบางอย่างก็อ้อยอิ่งอยู่ในใจ เขาถอนใจช้าๆ พยายามปรับการเต้นหัวใจให้ช้าลง

      “เปล่าครับ ขอโทษที่เหม่อไป”

      ปัทม์ยิ้มน้อยๆ

      “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ... เราเดินต่อกันดีไหม คุณบอกว่าเหลือสวนโรมันใช่ไหมคะ รับรองว่าแดดแค่นี้ทำอะไรปัทม์ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะที่บ้านปัทม์น่ะแดดจัดกว่านี้ตั้งเยอะปัทม์วิ่งเล่นกลางแดดมาตั้งแต่เด็กยังไม่เป็นอะไรเลย” หญิงสาวทำท่าเบ่งกล้ามอวดความแข็งแรง ตั้งแต่เด็กมาแล้วหล่อนชอบเล่นกลางแจ้งมาตลอด แต่ก็ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ว่าจะตากแดดตากฝนอย่างไร

      ถ้าจะเข้าโรงพยาบาลก็เพียงแค่ไปเยี่ยมไข้ใครเท่านั้น

      ตอนนี้หล่อนก็ชักอยากเข้าโรงพยาบาลบ้างเหมือนกัน แต่ต้องหาก่อนว่าคุณหมอศนิอยู่แผนกไหน ปัทม์คิดครึ้มๆ ในใจ

      แผนกนั้นคงเต็มไปด้วยสาวๆ แน่นอน

      “แล้วอีกอย่างปัทม์ก็มีหมออยู่ทั้งคน จะกลัวอะไรล่ะคะ”

      ศนิรู้สึกว่าตัวเองจะไม่สบายเสียเอง เพราะดูเหมือนตาจะพร่าไปกับรอยยิ้มสดใส

      นั่นสิ... เขาเป็นหมอแล้ว

      เขาจะไม่ปล่อยให้หล่อนเป็นอะไรไปต่อหน้าอีกเป็นอันขาด

      ศนิเดินเคียงหญิงสาวไปตามถนนคอนกรีตเลียบคลองเล็กๆ ด้านข้างพระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ เขามองหญิงสาวข้างกายอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นหล่อนยิ้มกว้างกับอ่างน้ำพุที่สายน้ำพวยพุ่งท้าทายอากาศร้อนอยู่ด้านหลังพระที่นั่งไวกูณเทพยสถาน เขาพาหล่อนเดินจนถึงศาลาท่าน้ำที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ตรงข้ามคือพระราชอุทยานที่เรียกกันว่าสวนโรมัน

      “ยังกับอยู่คนละโลกเลยนะคะ” ปัทม์ปรารภ เพราะด้านหนึ่งคือพระที่นั่งอายุเกือบร้อยปีสถาปัตยกรรมยุโรปยุคเก่า ส่วนด้านที่ล้อมรอบเบื้องหลังคือตึกสูงเป็นทั้งอาคารของโรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์

      “ครับ... แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่เหลืออะไรเลย ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งบอกถึงตัวตนของเราครับ” ศนิทอดสายตาไปยังสนามหญ้าสีเขียวที่อยู่ถัดจากสวนโรมัน “ตึกนั้นยังคงเหลืออยู่ง่าย แต่อดีตของที่นี่ก็มีที่ถูกทำลายไปมาก พื้นที่ตรงนั้นเกือบๆ ๒ ไร่เคยเป็นดุสิตธานี”

      “เมืองประชาธิปไตยน่ะหรือคะ”

      ชื่อคุ้นหูที่หล่อนรู้จักมาตั้งแต่ประถมว่าเป็นเมืองจำลองที่องค์รัชกาลที่ ๖ ทรงสร้างขึ้นเพื่อทดลองระบอบประชาธิปไตยให้ประชาชนได้เรียนรู้ แต่ให้นึกภาพยังไงก็นึกไม่ออกว่าหน้าตาเมืองจะเป็นยังไง

      “ครับ... เป็นเมืองจำลองที่มีครบครับ จำลองวัง วัด ถนน หรือบ้านเรือน ทุกอย่างย่อส่วนมาจากของจริง ทำอย่างประณีตมาก วันหลังผมจะหารูปถ่ายเก่าๆ ให้คุณดู”

      “จริงเหรอคะ ปัทม์อยากดูมากๆ เลยค่ะ”

      “ความจริงก็มีบ้านจำลองเหลืออยู่บ้างนะครับ แต่ก็เป็นสมบัติส่วนตัวของตระกูลต่างๆ บางทีท่านเจ้าของก็จะเอามาแสดงให้ชม แต่ส่วนใหญ่ถูกทำลายหมด”

      ปัทม์เดินข้างคนนำทางที่ผลักประตูเหล็กดัดโปร่งใต้ซุ้มคอนกรีตสูงก้าวเข้าสู่สวนโรมัน เสียงทุ้มๆ ก็ดังขึ้นอย่างที่หล่อนเดาได้

      “สวนโรมันมีผังเป็นแบบเรขาคณิตครับ สองข้างจะเหมือนกัน” เขาพาหล่อนเดินตามทางเดินกว้างที่ปูด้วยอิฐ สองข้างขนาบด้วยแปลงดอกเข็มที่ออกดอกสะพรั่งกลางแสงแดดจ้า จนมาหยุดที่กลางสวนซึ่งมีสระน้ำ กลางสระมีรูปหล่อพระวรุณซึ่งพระบาทข้างหนึ่งเหยียบบนปลาอานนท์ “รูปหล่อนี่หล่อที่ฟลอเรนซ์นะครับ กรมพระนริศฯ ทรงออกแบบแล้วโปรดให้ช่างอิตาลีหล่อขึ้น”

      “ฝรั่งหล่อเทพไทยเหรอคะ” ปัทม์หัวเราะเบาๆ กับวัฒนธรรมข้ามถิ่น

      ศนิหัวเราะกับความคิดของหญิงสาว เขาชี้พญานาคสองตัวที่อยู่ข้างฐานรองรับพระวรุณให้หล่อนดู

      “พญานาคครับ แต่หน้าตาก็คล้ายๆ พญามังกร ในพระราชวังนี้มีพญามังกรอยู่หลายตัวครับ”

      “อะไรนะคะ พญามังกรอะไร” ปัทม์ทำหน้างงๆ ไม่ทันมุกของเขา

      “ก็ตามคติความเชื่อไงครับ พญามังกรเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของกษัตริย์ ที่พระราชวังนี้ก็เลยมีรูปมังกรสวยๆ อยู่ ทั้งมังกรบนท้องฟ้า พญามังกรถือวชิระ”

      “อ๋อ...” ปัทม์ค้อนที่เค้าทำเอาหล่อนงง หล่อนเห็นรูปพญามังกรซึ่งเป็นภาพเขียนสีบนเพดานห้องพระบรรทมแล้ว งดงามและก็น่าเกรงขามมาก “เอ...พญามังกรถือวชิระ... ปัทม์ยังไม่เห็นเลยค่ะ”

      “เดี๋ยวก็ได้เห็นครับ”

      ปัทม์เท้าเอวมองร่างสูงๆ ที่เดินนำไปยังศาลาสีขาวแบบโรมันที่หล่อนนึกชอบตั้งแต่แรกเห็น

      ศาลาทั้งสามบนเนินดินหลังตรงหน้าหล่อนเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมันแต่ก็มีความเป็นกรีกเข้ามาผสานได้อย่างงดงาม เสาสีขาวสะท้อนเปลวแดดมองดูงามสง่า หัวเสาทั้งสองข้างสลักเสาลายใบผักกาดและลายก้นหอยอย่างงดงาม ศาลาทั้งสามเป็นศาลาเปิดโล่ง หลังกลางมีโดมกลม อีกสองหลังที่ขนาบข้างเป็นศาลาสี่เหลี่ยม

      ก่อนขึ้นสู่ศาลามีบันไดมีบันไดหกขั้น กับรูปปั้นนางฟ้าสองตัวขนาบข้างรอรับผู้มาเยือน

      “มีอะไรหรือเปล่าคะ” ปัทม์เอ่ยถามเมื่อก้าวมาทันร่างสูงที่หยุดยืนอยู่บนกลางทางเดินเยืองบันไดขึ้นศาลา

      “เปล่าครับ...” เขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีถึงภาพเมื่อครู่ ภาพที่แสงแดดกล้าเช่นนี้หายไปเหลือเพียงแสงยามโพล้เพล้ และสาวน้อยในชุดเสื้อลูกไม้กับผ้าซิ่นยาวอันเป็นแบบที่เขารู้ดีว่าอยู่ในยุครุ่งเรืองของพระราชวังแห่งนี้อยู่ในอ้อมกอดเขา

      แล้วภาพนั้นก็หายไปราวกับความฝัน

      ความฝันที่เขาไม่อาจอธิบายได้

      “แดดแรงมากเลยครับ...เราเข้าร่มกันดีกว่า” ศนิเปลี่ยนความสนใจ

      “เห็นไหมคะว่าปัทม์แข็งแรงดี” แต่หล่อนก็เดินตามเขาไปตามทางเดินเล็กๆ ที่ทอดผ่านต้นไม้ใหญ่เข้าสู่ด้านหลังของพระที่พิมานจักรี

      “นี่ไงครับพญามังกรถือวชิระ”

      ปัทม์มองประติมากรรมนูนต่ำที่ผนังก่อนทางบันไดขึ้นตึกอย่างสนใจ พญามังกรที่ลอยอยู่บนก้อนเมฆราวกับมีชีวิตจริง ทั้งสวยงามและน่าเกรงขาม

      “อุ๊ย...” ปัทม์อุทานเบาๆ ขณะกำลังจะก้าวขึ้นบันได หล่อนเสียหลักเกือบล้มถ้าไม่ได้มือแข็งแรงคว้าข้อมือไว้ก่อน

      “ขอโทษนะครับ” ศนิเปลี่ยนจากคว้าข้อมือมาเป็นกุมไว้ เขาสบตาปัทม์ก่อนจะนำร่างบางขึ้นบันไดโดยไม่ได้ปล่อยมือ

      ปัทม์หลุบตามองมือใหญ่ ความร้อนแผ่ซ่านขึ้นมาทำเอาหายใจสะดุด

      ทั้งสองเดินเงียบๆ มาจนด้านหน้าของพระที่นั่งพิมานจักรี และหยุดอยู่ตรงบันไดลงถนนทางเชื่อมสู่อาคารเทียบรถพระที่นั่ง เสียงลมหายใจผสานกัน

      ศนิปล่อยข้อมือเล็กๆ อย่างไม่อยากนัก

      “ขอบคุณมากนะคะที่พาปัทม์ชมวัง” ปัทม์ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่เคยพูดคล่องอย่างหล่อนจะเอ่ยคำพูดออกมายากเย็นเช่นนี้

      นัยน์ตาสีนิลที่หม่นลงทำให้หัวใจหล่อนหวั่นไหว

      “ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ...” เขาก็จนคำพูด แต่นี่เขาก็ยืดเวลามานานจนไม่อาจจะหาข้ออ้างอะไรอีก แต่จะปล่อยให้หล่อนกลับไป แล้วออกจากชีวิตของเขาไปราวกับคนไม่เคยรู้จักนั้น ศนิบอกว่าเขาทำไม่ได้

      ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...แต่เขาไม่อาจเห็นหล่อนเดินจากไปได้


      “ขอให้เราได้พบกันอีกนะคะ ที่ๆ เคยเราพบกัน”

      “ได้...พี่จะรอ พี่จะรอแม่บัวเสมอ” เสาร์รับปากอย่างไม่ต้องคิด เขากอดร่างบางแน่น หัวใจเจ็บปวดยากที่จะทานทน

      “น้องรักคุณพี่ค่ะ” เสียงเบาๆ สุดท้ายดังกังวานในหัวใจของชายหนุ่มที่นิ่งงัน ก่อนจะกลายเป็นเสียงร้องโหยหวนราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัสของบุรุษที่สูญเสียยิ่งกว่าหัวใจตัวเอง

      “เราจะพบกันอีกแม่บัว...พี่สัญญา”

      “นี่ค่ะ... ผ้าเช็ดหน้าของคุณใช่ไหมคะ”

      ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดถักริมด้วยลูกไม้มือสีเขียวก้านมะลิอย่างละเอียดอ่อนหวานถูกยื่นมาตรงหน้า ศนิกระพริบตาไล่ภวังค์อันแสนเศร้า

      “อาทิตย์ที่แล้ว ปัทม์เห็นมันตกอยู่”

      เขายื่มมือไปรับและทำสิ่งที่ตัวเองไม่คาดคิด คือกุมมือที่ส่งผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น

      “เราจะได้พบกันอีกใช่ไหม...”

      “คุณศนิ...” ปัทม์พึมพำเบาๆ มือใหญ่แสนอบอุ่นจนหล่อนไม่กล้าที่จะสะบัดออก และในใจลึกๆ ของหล่อนก็ไม่รังเกียจเลย “ทำไมคะ...”

      ศนิจ้องลองไปในดวงตาคู่สวย

      “ผมไม่รู้...รู้เพียงแค่ว่าอยากพบคุณอีก ไม่อยากให้วันนี้เป็นแค่วันๆ หนึ่งที่ผ่านเลย”

      หล่อนคงไม่มีทางผ่านเลยวันนี้ไปได้แน่นอน...ทุกคำพูด ทุกอากับกิริยาของเขาประทับตราเข้าไปในความทรงจำอย่างที่หล่อนเองก็นึกไม่ถึง

      ไม่มีทางลืมได้เลย

      “เราจะพบกันอีก...ใช่ไหม”

      น้ำเสียงวิงวอนที่ปัทม์รู้ว่าจะต้องไม่มีใครที่ใจแข็งพอจะปฏิเสธ และหล่อนก็ไม่ใช่คนใจแข็งอย่างนั้น

      “ค่ะ...”

      เสียงตอบรับเบาๆ ทำให้ดวงหน้าคมสันสดใส นัยน์ตาวาววับขึ้นด้วยแววความยินดีอย่างมากมาย ริมฝีปากหนาหยักยิ้มเต็มที่

      “อ้าว...ยายปัทม์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ” เสียงใสๆ ดังขึ้นทำให้สองหนุ่มสาวสะดุ้ง ปัทม์ปลดมือออกจากมือใหญ่แล้วหันควับ

      วัตราเพื่อนสนิทของหล่อนยืนอยู่กลางถนนด้านหน้าพระที่นั่งมองหล่อนด้วยรอยยิ้มกระหยิ่มที่ทำให้ปัทม์นึกอยากซัดสักเพี๊ยะ

      “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละย่ะ”

      วัตราหัวเราะกับท่าทางเขินจัดของเพื่อนสาวที่หล่อนบังเอิญมาเห็นฉากสวีทกับหนุ่มที่ไหนเข้า ก่อนจะยิ้มค้างเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ยืนอยู่กับปัทม์

      “อ๊ะ... อาจารย์”

      ศนิเองก็เกือบปรับสีหน้าไม่ทัน เขามองหน้าลูกศิษย์ก่อนจะกลับมามองคนข้างตัว

      ต๊าย! ยายปัทม์เพื่อนหล่อนนี่สำคัญนัก อยู่ก็โผล่มาโฉบเอาอาจารย์หนุ่มสุดหล่อเนื้อหอมที่สุดของวิทยาลัยไปแบบไม่ให้ใครรู้ตัว

      โอ๊ย... หล่อนฝันไปหรือเปล่าเนี่ย

      แหมๆ เสียดายๆ

      หล่อนรึอุตส่าห์เฝ้าไว้ มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม

      “อาจารย์...ยายปัทม์ โอ๊ย...อยากจะเป็นลม”

      ศนิเกือบหลุดหัวเราะออกมากับท่าทาง ‘โอเวอร์แอคติ้ง’ ของลูกศิษย์สาวที่เขาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำวิจัยให้

      “โอ๊ย...ยายปัทม์ตีฉันทำไมยะ” วัตราร้องกับฝ่ามือที่ซัดเขามาที่แขนหล่อนไม่เบานักโดยเพื่อนซี้ที่ลงมาจากบันไดเมื่อไรหล่อนก็ไม่ทันสังเกต

      “อย่าพูดมากน่า” ปัทม์ทำตาดุใส่เพื่อนสาว “แกทำแลปเสร็จแล้วเหรอ”

      ใครจะนึกว่าจะเจอแจ๊คพ็อตขนาดนี้ แสดงว่าศนิคืออาจารย์ที่ปรึกษาที่เพื่อนหล่อนชอบเอาไปพร่ำเพ้อให้ฟังบ่อยๆ

      อาจารย์หนุ่มสุดหล่อ เก่งมาก รวยมาก ชาติตระกูลสูงมาก และยังโสดมากๆ

      ตั้งแต่วัตรามาทำแลปที่นี่หล่อนก็ได้รับฟังแต่เรื่องของอาจารย์คนนี้จนแทบอยากมาเห็นตัวจริงว่าจะเป็นอย่างที่เพื่อนหล่อนเพ้อหรือไม่

      หล่อนเหลือบมองไปยัง ‘ตัวจริง’

      คนที่หล่อนรู้ว่าเป็นหมอ และเป็นทหาร

      แต่จากที่เคยรู้มากจากวัตรานั้น อาจารย์ที่ปรึกษาของหล่อนมีคำนำหน้ายาวเหยียดชนิดที่หล่อนก็เรียงไม่ถูก

      พันโทผู้ช่วยศาสตราจารย์ดอกเตอร์นายแพทย์หม่อมหลวงศนิ สารารัตน์

      “ฮื่อ...” วัตราทำเสียงตอบเพื่อนสาวก่อนจะไปทางอาจารย์หนุ่มที่อาจจะเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นอย่างอื่นเร็วๆ นี้ เพราะปกติหล่อนเห็นแต่อาจารย์ทำตาดุๆ ไม่เคยเห็นทำตาหวานอย่างนี้มาก่อน “แลปวันนี้เรียบร้อยดีค่ะ ไม่มีหนูตัวไหนเกเรสักตัว”

      “ดีครับ” ศนิเดินตามลงมายังที่สองสาวยืนอยู่

      “โห... แกเล่นตีท้ายครัวฉันนี่” วัตราหันมากระซิบแหย่เพื่อนสาว

      “แกล้อฉันอีกคำ รับรองได้ไปนอนวัด EKG แทนหนูแกแน่...เอาไหม”

      วัตรากลั้นหัวเราะอย่างยากเย็นเพราะไม่ต้องการเป็นอย่างที่เพื่อนสาวว่า

      “คุณศนิคะ ปัทม์ขอตัวกลับก่อนนะคะ ท่าทางเพื่อนปัทม์จะหิวแล้ว” ปัทม์บอกตัวเองว่าต้องลากแม่เพื่อนสนิทออกไปจากตรงนี้ก่อน

      “เดี๋ยวครับ...”

      “ปัทม์สัญญาค่ะ” ปัทม์เอ่ยหนักแน่น แล้วหันมาลากเพื่อนสาวที่ทำท่าจะโวยวายออกไปจากหน้าตึก หล่อนหันมาสบตาชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ อย่างสัญญา

      วันนี้อาจจะมีอะไรแปลกๆ มากมายเกิดขึ้นที่หล่อนยังไม่พบคำตอบ ความรู้สึกบางอย่าง ความฝันที่หล่อนอยากจะเอ่ยถาม แต่หล่อนยังมีเวลามิใช่หรือ ยังมีเวลาอีกชั่วชีวิตที่จะซักถาม ที่จะค้นหาคำตอบและความรู้สึก

      เพราะเขาจะอยู่ ณ ที่ตรงนี้

      เขาจะรอ...ตามสัญญา

      ศนิถอนใจยาว มองผ้าเช็ดหน้าที่ได้รับคืนมา กลิ่นหอมอ่อนๆ เช่นเดียวกับที่เขาได้จากตัวหล่อนทำให้เขายกขึ้นแตะริมฝีปาก แสงแดดเบื้องหน้ายังแรงกล้าแต่หัวใจของเขากลับเย็นฉ่ำ

      ไม่ว่าจะเป็นเพียงความฝัน...หรือจะเป็นความจริง

      ศนิบอกกับตัวเองว่า...เขาพบแล้ว

      ผมจะรอคุณ...ปัทม์

      พี่สัญญา...แม่บัว

      ณ ที่ตรงนี้...
      ณ ที่เราพบกัน


      ………………………

      ผู้สนใจสามารถเข้าชมพระราชวังพญาไทได้ทุกวันเสาร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
      มัคคุเทศก์นำชมจากชมรมคนรักวัง รอบเช้า ๙.๐๐ น. และรอบบ่าย ๑๓.๐๐ น. ไม่จำเป็นต้องเป็นหมู่คณะ

      ปล. สำหรับร้านกาแฟนรสิงห์ ฬีไม่ทราบว่าเปิดดำเนินกิจการต่อหลังจากที่ปรับปรุงอาคารเทียบรถพระที่นั่งหรือเปล่านะคะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×